Monkey - Paper Mario

วันพฤหัสบดีที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2560

เปิดประวัติพระรัฐกิจวิจารณ์ ผู้ออกแบบผังเมืองยะลา ติดผังเมืองดีระดับโลก


ผังเมืองยะลา ถูกได้รับว่าเป็นผังเมืองดีระดับโลก ด้วยการจัดสรรแบ่งโซนของพื้นที่ที่เป็นระเบียบ ถนนทุกสายไปรวมศูนย์กันในวงเวียน ผังเมืองที่ดีนี้หากย้อนไปใครเป็นผู้คิดและได้แรงบันดาลใจมาได้อย่างไร ข้อมูลได้ถูกบันทึกไว้ดังนี้  
พระรัฐกิจวิจารณ์ (สวาสดิ์ ณ นคร) อดีตนายกเทศมนตรีเมืองยะลา และอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา เป็นผู้วางรากฐานผังเมืองยะลาจนได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีผังเมืองเป็นระเบียบเรียบร้อยและสวยงามที่สุด พระรัฐกิจวิจารณ์ไม่เพียงแต่วางผังเมืองให้จังหวัดยะลาเท่านั้น แต่ยังได้สร้างความเจริญให้แก่ตัวเมืองยะลาในหลายๆ ด้าน ซึ่งเป็นรากฐานที่มั่นคงและเป็นที่ประจักษ์ในฐานะ คนดีศรียะลา อยู่จนถึงปัจจุบัน คุณความดีของท่าน จึงเป็นแบบอย่างที่ดีและยิ่งใหญ่ให้แก่ลูกหลานชาวยะลาได้เรียนรู้และสืบสานแนวทางที่ดีนี้สืบต่อไป
พระรัฐกิจวิจารณ์เคยรับราชการ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงประจำจังหวัดยะลาคนที่ 10 ระหว่าง พ.ศ.2456-2458 เมื่อออกจากราชการแล้วได้สมัครรับเลือกตั้งเป็นเป็นสมาชิกสภาเทศบาล และได้ดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีติดต่อกันถึง 2 สมัย ตั้งแต่ พ.ศ.2480-2488 ในช่วงที่ท่านดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองยะลา ท่านได้ทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจเพื่อสร้างเมืองยะลาอย่างจริงจัง
โดยเริ่มตั้งเมืองยะลาที่ตำบลนิบง ตั้งแต่การวางผังเมืองเป็นวงเวียน 1-2 และ 3 เตรียมจัดผังสำหรับก่อสร้างสถานที่สำคัญของราชการ และให้การสนับสนุนจังหวัดในการย้ายศูนย์ราชการ เช่น ศาลากลางจังหวัด ที่ว่าการอำเภอเมืองยะลา ศาลจังหวัดยะลา และสถานีตำรวจภูธรจังหวัดยะลา จากตำบลสะเตงมาตั้งอยู่ในเขตเทศบาล จัดหาศูนย์กลางของตัวเมืองร่วมกับบิดาของนายอดุลย์ ภูมิณรงค์ซึ่งต่อมาเป็นที่สร้างศาลหลักเมืองยะลา และยังได้ความร่วมมือช่วยเหลือสร้างสำนักสงฆ์วัดพุทธภูมิ โรงเรียนประชาบาลตำตำบลสะเตง (ต่อมาเปลี่ยนเป็นโรงเรียนเทศบาล 1) และสถานีตำรวจบ้านนิบง
พระรัฐกิจวิจารณ์ ได้ตัดถนนสายสำคัญๆ คือ จากสถานีรถไฟยะลา ไปยังกิโลศูนย์ (มลายูบางกอก) ช่วงที่ 1 คือ ถนนพิพิธภักดี เป็นถนนคู่มีต้นประดู่ขึ้นเรียงรายตลอดสายดูร่มรื่นสวยงาม และช่วงที่ 2 จาก หอนาฬิกาถึงกิโลศูนย์ คือ ถนนสุขยางค์ รวมถึงได้ตัดถนนสิโรรสที่เป็นถนนสายเอกของเทศบาลเมืองยะลา มีเกาะกลางถนนมีทางเท้าขนาดใหญ่ มีต้นเฟื่องฟ้าสวยงาม เป็นที่เชิดหน้าชูตาของเทศบาลเมืองยะลาและได้ตัดถนนสายย่อยอีกหลายสาย ได้แก่ ถนนยะลา ถนนไชยจรัส ถนนรัฐกิจ ถนนปราจิณ ถนนพังงา ถนนรวมมิตร และได้สร้างสนามเด็กเล่น และสนามฟุตบอลครั้งแรก ซึ่งตั้งอยู่หน้าสำนักงานเทศบาลเก่า ปัจจุบันเป็นศูนย์เยาวชนเทศบาลนครยะลา นอกจากนี้พระยารัฐกิจวิจารณ์ยังเอาใจใส่พัฒนากิจการด้านโรงแรม ตลาดสด และโรงภาพยนตร์ให้มีขึ้นในเขตเทศบาลอีกด้วย
พระรัฐกิจวิจารณ์เป็นผู้มีประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เห็นได้จากการดำเนินกิจการของเทศบาล หากจะทำอะไรจะต้องขอความเห็นจากที่ประชุมของสมาชิกเทศบาลก่อนเสมอ ท่านเป็นผู้มีความเสียสละทั้งเวลาและทรัพย์สินส่วนตัวให้กับราชการเป็นอย่างมาก ท่านเป็นผู้มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีกับบรรดาข้าราชการและประชาชน จากที่กล่าวมาข้างต้น นับได้ว่า พระรัฐกิจวิจารณ์เป็นบุคคลที่เสียสละ มีความคิดริเริ่ม มีความมุ่งมั่นศรัทธา ที่จะทำให้จังหวัดยะลา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตเทศบาลมีความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก จวบจนทุกวันนี้ สิ่งที่ท่านได้วางรากฐานไว้ให้ ได้รับการสานต่อให้เทศบาลนครยะลาเป็นเมืองที่มีผังเมืองที่ดี มีความสะอาด เป็นระเบียบเรียบร้อยที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศไทย



เครดิต : เทศบาลนครยะลา





วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560

"ของดีตากใบ..... "ปลากุเลาเค็ม""



ปลากุเลาตากใบ ราชาแห่งปลาเค็ม 
โอทอปขึ้นชื่อแห่งนราธิวาส

            ปลาที่ “คนกินไม่ได้ซื้อ คนซื้อไม่ได้กิน”นี่คือสำนวนที่ชาวตากใบมักจะพูดเล่นๆถึงสรรพคุณความอร่อยของ “ปลากุเลาตากใบ” ที่คนส่วนใหญ่เมื่อได้ลิ้มลองต่างติดใจในรสชาติ จนได้รับฉายาว่าเป็น“ราชาแห่งปลาเค็ม”
            ปลากุเลาตากใบ เป็นปลากุเลาเค็มผลิตภัณฑ์ชุมชนสินค้าโอทอประดับ 5 ดาวของ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ที่เป็นการตกผลึกภูมิปัญญาพื้นบ้านที่สั่งสมกันมาจากรุ่นสู่รุ่น เกิดเป็น “ภูมิปัญญาปลาเค็ม” อันเลื่องชื่อลือชาในความอร่อย(มาก)เหนือกว่าปลาเค็มทั่วๆไป โดยเคล็ดลับความอร่อยของปลากุเลาตากใบนั้น อยู่ที่การคัดเลือกปลาที่มีคุณภาพ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ปลาสดใหม่ที่จับได้ใน อ.ตากใบและในทะเลนราธิวาสเท่านั้น

             เมื่อได้ปลาสดใหม่มา จากนั้นก็จะนำปลามาเข้าสู่กระบวนการผลิตที่ทำอย่างพิถีพิถัน ที่แม้แต่ละเจ้าจะมีสูตรใครสูตรมัน แต่ก็มีกระบวนการหลักคล้ายๆกัน ได้แก่ เมื่อได้ปลาสดใหม่มาแล้วก็จะมาขอดเกล็ด ควักไส้ เครื่องในทิ้ง ล้างทำความสะอาด จากนั้นนำเกลือยัดไปในท้องและนำปลาไปหมักเกลือ(สูตรใครสูตรมัน)ในภาชนะที่ปิดฝามิดชิด เมื่อหมักได้ที่แล้วจึงนำล้างน้ำตากด้วยการผูกเชือกที่หางห้อยหัวลง โดยปลาตัวใหญ่ต้องให้กระดาษห่อหัวปลา เพื่อป้องกันแมลงวันมาไข่ ส่วนปลาตัวเล็กไม่ต้องห่อ

            ครั้นเมื่อตากได้ระยะเวลากำหนดก็เสร็จสิ้นนำออกขายได้ ซึ่งปัจจุบันหลายๆร้านจะมีผลิตภัณฑ์บรรจุลงในกล่องอย่างสวยงามเรียบร้อย โดยปลากุเลาตากใบทั้งหมดเขายืนยันในเรื่องของการเป็นปลาปลอดสารเคมี
            และด้วยความอร่อยขึ้นชื่อ ทำให้ปลากุเลาตากใบมีสนนราคาขายที่แพงเอาเรื่อง ปัจจุบันตกอยู่ที่กิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 1,200-1,500 บาท ซึ่งก็ทำให้ชาวตากใบหรือชาวนรามักจะซื้อหาไปเป็นของกำนัลผู้หลักผู้ใหญ่ หรือส่งไปให้กับคนที่นับถือกัน จนเกิดเป็นคำพูดเล่นๆว่า “ปลากุเลาตากใบ เป็นปลาที่คนกินไม่ได้ซื้อ คนซื้อไม่ได้กิน” ดังที่กล่าวมาข้างต้น

           อย่างไรก็ดีแม้ราคาปลากุเลาตากใบจะได้ชื่อว่าแพงกว่าปลาเค็มทั่วๆไป แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคต่อผู้ที่พิสมัยในการกิน เพราะมีคนสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมากจนชาวบ้านที่ตากใบทำปลากุเลาส่งขายกันไม่ทัน ดังนั้นใครที่อยากกินปลากุเลาจึงต้องโทร.สั่งจองจากร้านที่รู้จักก่อน และบางทีต้องรอเป็นเดือน ขึ้นอยู่กับฤดูกาลที่มีปลามากหรือน้อยหรือไม่มีปลา โดยในช่วงที่มีปลาเยอะจะอยู่ในช่วงเดือน พ.ย. - มี.ค.

             ส่วนใครที่มีโอกาสไปตากใบแล้วลองเสี่ยงไปสั่งซื้อปลากันที่หน้าร้านแบบไม่ได้สั่งจอง ถ้าใครโชคดีได้ปลากุเลามากินก็มีคำพูดเล่นๆว่า คนจะกินปลากุเลาตากใบ ไม่ใช่แค่มีเงินอย่างเดียว แต่ต้องมี “บุญ”ด้วย 
             ขณะที่ผู้ที่จะลองกินเมนูปลากุเลาตากใบตามร้านอาหารนั้นก็ไม่ใช่จะหากินกันได้ง่ายๆ แม้ขนาดร้านอาหารชื่อดังประจำ อ.ตากใบ อย่าง “ร้านนัดพบยูงทอง” ยังมีข้อกำหนดในการขายเมนูปลากุเลาตากใบทอดให้ลูกค้า คือ ขายโต๊ะเดียว จานเดียว หรือขายให้โต๊ะละจานเท่านั้น เพราะเขาขอสงวนไว้ให้กับลูกค้าอื่นๆด้วย เนื่องจากเป็นของหายาก 
      และนี่ก็คือมนต์เสน่ห์ความอร่อยของ “ปลากุเลาตากใบ” ราชาแห่งปลาเค็ม ปลาที่ “คนกินไม่ได้ซื้อ คนซื้อไม่ได้กิน” แห่ง จ.นราธิวาส

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

บ่อน้ำร้อนเขาแดง บ้านถ้ำตลอด ต.เขาแดง อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา

บ่อน้ำร้อนเขาแดง อยู่ที่หมู่ 7 บ้านถ้ำตลอดต.เขาแดง อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
              เป็นบ่อน้ำร้อนที่เกิดจากธรรมชาติ มีความร้อนประมาณ 45 องศาฟาเรนไฮสามารถลวกไข่สุกภายใน 20 นาทีในน้ำร้อนมีแร่กำมะถัน ที่สามารถรักษาโรคผิวหนังได้ ช่วงตอนหัวรุ่ง ตอนเช้ามืด ชาวบ้านในหมู่บ้านนิยมไปอาบน้ำที่บ่อน้ำร้อนนี้กันเป็นจำนวนมากเราไปนั่งแช่น้ำแร่ที่บ่อน้ำร้อนนี้ตั้งแต่หกโมงเช้านั่งมองดูทัศนียภาพโดยรอบ....หากที่นี่มีการปรับปรุงทัศนียภาพบ่อน้ำร้อนแห่งนี้จะเป็นอีกสถานที่หนึ่ง....ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของคนทั่วไปอ.สะบ้าย้อย จว.สงขลา...เป็นอีกอำเภอหนึ่งที่เราเห็นว่า..มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายมีบรรยากาศดี วิถีชีวิตผู้คนอยู่กันอย่างเรียบง่ายหากมีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว...อ.สะบ้าย้อย ก็จะเป็นที่รู้จัก....และได้รับการยอมรับด้านการท่องเที่ยว...











เคดิตภาพ:Link_conner55
 

วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

"โครงการไม้ดอกเมืองหนาวหมู่บ้านปิยะมิตร 2"

ชมสวนไม้ดอกเมืองหนาวชมแห่งเดียวในภาคใต้ของประเทศไทยที่สวนหมื่นผุบฝา 勿洞万花园
"โครงการไม้ดอกเมืองหนาวหมู่บ้านปิยะมิตร 2" 
ตั้งอยู่ที่ตำบลตาเนาะแมเราะ อำเภอเบตง  จังหวัดยะลา

เป็นโครงการที่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงแนะนำแนวทางปลูกไม้เมืองหนาวขึ้น เมื่อเสด็จเยือนครั้งแรกในปี พ.ศ.2537 เนื่องจากบริเวณหุบเขาส่วนนั้นอากาศหนาวปลูกยางพาราไม่ได้ผล โครงการนี้เป็นโครงการที่ช่วยให้ "ผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยและอดีตชาวจีนมาลายูที่ตั้งกองกำลังต่อต้านรัฐบาลมาเลเซียอยู่ในแดนไทยเขตเบตงสมัยก่อนที่ออกมาจากป่ามาร่วมพัฒนาเศรษฐกิจท้องถิ่น ให้มีรายได้และช่วยกันสร้างชาติไทย ปัจจุบันหุบเขาแห่งนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีไม้เมืองหนาวหลากสีคล้ายบนดอยทางภาคเหนือและไม้ดอกเหล่านี้เป็นสินค้าส่งออกเป็นพืชเศรษฐกิจอย่างหนึ่งของเบตง เช่น ดอกไฮเดรนเยีย เบญจมาศ กุหลาบ พีค๊อก เยอบีร่า ลิลลี่ และอีกหลายอย่างที่ไม่รู้จักชื่อ แต่สวย แปลงปลูกดอกไฮเดรนเยียมีลากสีสวยจนอยากซื้อกลับบ้าน 
ใครที่ชอบสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆ  วิวถ่ายภาพสวยๆ ไปเที่ยวสิคะ รับรองถูกใจชั่วคะ
ที่เบตงอะไรๆก็มีภาษาจีนกำกับ ไม่ว่าจะเป็นชื่ออาหาร โรงแรม ชื่อสวน ชื่อดอกไม้ ฯ เพราะนักท่องเที่ยวหลักคือชาวมาเลย์เชื้อสายจีน *****ถ้าบังอื่นมีชาวเบตงคนท้องถิ่นมาอ่าน ช่วยเสริมได้นะคะ  ขอบคุณล่วงหน้านะคะ*******

วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ประวัติศาสตร์ปัตตานีตอนที่ 4-5

ประวัติศาสตร์ปัตตานี
ตอนที่ 4



ประวัติศาสตร์ปัตตานี
ตอนที่ 5



วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร หรือ ป่าพรุโต๊ะแดง นราธิวาส





ป่าพรุผืนสุดท้ายของเมืองไทยที่ได้รับการประกาศให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำลำดับที่ 1102 ของประเทศไทยเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2544 โดยครอบคลุมพื้นที่ 3 อำเภอ คือ อำเภอตากใบ อำเภอสุไหงโกลก และอำเภอสุไหงปาดี มีพื้นที่ประมาณ 120,000 ไร่ ทว่าส่วนที่สมบูรณ์นั้นเหลือเพียง 50,000 ไร่ ป่าพรุโต๊ะแดงแห่งนี้เป็นป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสัตว์ป่าและพรรณไม้ โดยมีลำน้ำสำคัญหลายสายไหลผ่าน ได้แก่ คลองสุไหงปาดี แม่น้ำบางนรา และคลองโต๊ะแดง อันเป็นที่มาของชื่อป่านั่นเอง
กำเนิด “ป่าพรุ”
          ป่าพรุ หรือ peat swamp forest นั้น เกิดจากแอ่งน้ำจืดขังติดต่อกันชั่วนาตาปี และมีการสะสมของชั้นดินอินทรียวัตถุ ได้แก่ ซากพืช ซากต้นไม้ ใบไม้ที่ย่อยสลายอย่างช้า ๆ กลายเป็นดินพีท (peat) หรือดินอินทรีย์ที่มีลักษณะหยุ่นยวบเหมือนฟองน้ำ มีความหนาแน่นน้อย อุ้มน้ำได้มาก อีกทั้งพบว่ายังมีการสะสมระหว่างดินพีทกับดินตะกอนทะเลสลับชั้นกัน 2-3 ชั้น ทั้งนี้ เพราะน้ำทะเลเคยมีระดับสูงขึ้นจนท่วมป่าพรุ ทำให้เกิดการสะสมของตะกอน เมื่อน้ำทะเลถูกขังอยู่ด้านใน และพันธุ์ไม้ในป่าพรุตายไป ก็เกิดป่าชายเลนขึ้นมาแทนที่ ครั้นระดับน้ำทะเลลดลงและมีฝนตกลงมาสะสม ได้ชะล้างความเค็มจากน้ำที่ขังไปทีละน้อย ค่อย ๆ กลายเป็นน้ำจืด และก่อเกิดเป็นป่าพรุขึ้นอีกครั้ง ซึ่งดินพรุชั้นล่างนั้นมีอายุถึง 6,000-7,000 ปี ส่วนดินพรุชั้นบนอยู่ระหว่าง 700-1,000 ปี
ระบบนิเวศของป่าพรุ
          ระบบนิเวศของป่าพรุคือความน่าทึ่งของธรรมชาติ ที่สร้างสรรค์ให้ทุกชีวิตล้วนมีความเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันอย่างน่าเรียนรู้ คุณจะพบไม้ยืนต้นที่มีระบบรากแขนงแข็งแรงแผ่ออกไปเกาะเกี่ยวกัน เพื่อจะได้ช่วยพยุงลำต้นของกันและกันให้ทรงตัวอยู่ได้ และนี่เองที่ทำให้ต้นไม้ในป่าพรุอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม หากต้นใดล้ม ต้นอื่นจะล้มตามไปด้วย ทั้งนี้ พันธุ์ไม้ที่พบในป่าพรุนั้น มีกว่า 400 ชนิด บางอย่างนำมารับประทานได้ เช่น หลุมพี ซึ่งเป็นไม้ในตระกูลปาล์ม มีลักษณะต้นและใบคล้ายปาล์ม แต่มีหนามแหลมอยู่ตลอดก้าน ผลมีลักษณะคล้ายระกำ แต่เล็กกว่า รสชาติออกเปรี้ยว ชาวบ้านนำมาดองและส่งขายไปยังประเทศมาเลเซีย โดยฤดูเก็บลูกหลุมพีจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-มีนาคม หากนอกฤดูกาลแล้ว จะหายากและมีราคาสูง ขณะเดียวกันไม้บางอย่างก็เป็นพืชพรรณในเขตมาเลเซีย เช่น หมากแดง ซึ่งมีลำต้นสีแดง เป็นปาล์มชั้นดี ขายได้ราคางาม และมีผู้นิยมนำไปเพาะเพื่อประดับสวน เนื่องจากความสวยของกาบ ใบ และลำต้นที่มีสีแดงดังชื่อ นอกจากนี้ในป่าพรุยังมีพืชอีกหลายชนิดที่น่าสนใจ เช่น ปาหนันช้าง อันเป็นพืชในวงศ์กระดังงาที่มีดอกใหญ่ และกล้วยไม้กับพืชเล็ก ๆ ซึ่งต้องสังเกตดี ๆ จึงจะพบเห็น
สัตว์ประจำถิ่น
          ในป่าพรุนั้นมีสัตว์ป่าที่พบกว่า 200 ชนิด เช่น ค่าง ชะมด หมูป่า หมีขอ แมวป่าหัวแบน อันเป็นสัตว์คุ้มครองที่หายากชนิดหนึ่งของไทย หนูสิงคโปร์ ที่พบค่อนข้างยากในคาบสมุทรมลายู แต่กลับมีชุกชุมบนเกาะสิงคโปร์ สำหรับประเทศไทยพบในป่าพรุโต๊ะแดงนี้เท่านั้น  และหากป่าพรุถูกทำลาย หนูเหล่านี้อาจออกไปทำลายผลิตผลของเกษตรกรในพื้นที่โดยรอบได้ ส่วนพันธุ์ปลาที่พบ ได้แก่ ปลาปากยื่น ที่เป็นปลาชนิดใหม่ของโลกซึ่งพบที่ป่าพรุสิรินธรนี้เท่านั้น ปลาดุกรำพัน ที่มีรูปร่างคล้ายงู ซึ่งอาจพัฒนาเป็นปลาเศรษฐกิจที่ใช้เลี้ยงในแหล่งที่มีปัญหาน้ำเปรี้ยวได้ ปลากะแมะ รูปร่างประหลาดมีหัวแบน ๆ กว้าง ๆ และลำตัวค่อย ๆ ยาวเรียวไปจนถึงหาง มีเงี่ยงพิษอยู่ที่ครีบหลัง  ปลาเหล่านี้จะอาศัยป่าพรุเป็นพื้นที่หลบภัยและวางไข่ ก่อนแพร่ลูกหลานออกไปให้ชาวบ้านใช้ยังชีพ

สวรรค์นักดูนก
          นกในป่าพรุนั้นมีหลายชนิด แต่ชนิดที่เด่นๆ ได้แก่ นกกางเขนดงหางแดง พบมากในเกาะสุมาตรา เกาะบอร์เนียว และมาเลเซีย ในประเทศไทยพบครั้งแรกที่นี่ เมื่อปีพ.ศ. 2530 นกจับแมลงสีฟ้ามาเลเซีย ซึ่งในประเทศไทยจะพบที่ป่าพรุสิรินธรเพียงแห่งเดียวเท่านั้น และปัจจุบันนกทั้งสองชนิดอยู่ในภาวะล่อแหลม เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

ฤดูกาลเหมาะสม
          คุณสามารถสัมผัสความเย็นสบายภายในป่าพรุได้เกือบตลอดทั้งปี เนื่องจากป่าพรุมีสภาพภูมิอากาศแบบคาบสมุทร มีฝนชุกตลอดทั้งปี แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการท่องเที่ยวป่าพรุ คือระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เพราะเป็นช่วงที่ฝนตกน้อยที่สุด ทำให้สามารถเดินชมป่าพรุได้สะดวกสบายกว่าช่วงเวลาอื่น
กิจกรรมน่าทำ
          นักท่องเที่ยวสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ความสุขจากป่าพรุได้มากมาย ส่วนเด็กๆ ก็สามารถเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตจากธรรมชาติจริงที่เขาได้พบเห็น เพราะเพียงแค่เดินชมธรรมชาติเงียบๆ อาจได้เห็นสัตว์ป่ากำลังหาอาหารอยู่ เพียงเท่านี้ก็สามารถกระตุ้นการเรียนรู้ได้มากมายแล้วสำหรับเจ้าตัวเล็ก การเดินชมธรรมชาติของป่าพรุต้องเดินในเส้นทางที่จัดเตรียมไว้ซึ่งเป็นเส้นทางที่นำเราเข้าไปหาธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ขณะเดียวกันก็ไม่ก้าวล่วงธรรมชาติมากเกินไปนัก ถ้าหากคุณนำคู่มือดูนก สมุดบันทึก ดินสอสี กล้องส่องตา กล้องถ่ายรูป และยาทากันยุงไปด้วย อาจเพลิดเพลินอยู่ภายในป่าพรุได้ตลอดทั้งวัน
          ทั้งนี้ ภายในศูนย์ฯ ได้จัดให้มีทางเดินป่าศึกษาธรรมชาติ เพื่อประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวกับธรรมชาติของป่าพรุ โดยเริ่มที่บึงน้ำด้านหลังอาคารศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธร มีลักษณะเป็นสะพานไม้ต่อกัน ลัดเลาะเข้าไปในป่าพรุ ระยะทาง 1,200 เมตร  บางช่วงเป็นสะพานไม้ร้อยลวดสลิง บางช่วงเป็นหอสูงสำหรับมองทิวทัศน์เบื้องล่าง ที่ชอุ่มไปด้วยพรรณไม้ในป่าพรุ อีกทั้งตลอดทางจะพบป้ายชื่อต้นไม้ที่น่าสนใจอยู่ตลอด รวมทั้งซุ้มความรู้ที่ตั้งอยู่เป็นจุดๆ ที่นี่เปิดทุกวัน เวลา 08.00-16.00 น. ไม่เสียค่าเข้าชม นอกจากนี้ยังมีห้องจัดนิทรรศการให้ความรู้แก่นักท่องเที่ยวที่มาชมอีกด้วย
ข้อควรระวัง
          สิ่งที่ต้องให้ความระมัดระวังในป่าพรุ ก็คือ ยุงดำ อันเป็นพาหะนำโรคเท้าช้าง ซึ่งมีอยู่ชุกชุมและมักออกหากินในช่วงพลบค่ำ และไม่ควรสูบบุหรี่ภายในป่าพรุ เพราะอาจเกิดไฟป่าขึ้นได้ หากมีใครเผลอทิ้งก้นบุหรี่ลงไป ที่สำคัญเมื่อป่าพรุเกิดไฟป่าแล้ว จะดับยากมากกว่าป่าชนิดอื่น เพราะเชื้อเพลิงไม่ได้มีแค่ต้นไม้ในป่าเท่านั้น หากยังรวมไปถึงซากไม้และต้นไม้ที่ทับถมกันในชั้นดินพรุ ไฟจึงสามารถลุกลามลงไปใต้ดิน ทำให้การควบคุมเพลิงหรือดับไฟนั้นทำได้ลำบาก ไฟจะคุกรุ่นกินเวลานานนับเดือน ต้องรอจนกว่าจะมีฝนตกชุก จนเกิดน้ำท่วมผิวดินไฟจึงจะดับสนิท

การเดินทาง
          โดยรถไฟ : การเดินทางจากกรุงเทพฯ ด้วยรถไฟนั้น ค่อนข้างสะดวกกว่ารถประจำทาง เพราะมีสถานีปลายทางอยู่ที่อำเภอสุไหงโกลก เมื่อมาถึงแล้วสามารถใช้บริการรถรับจ้างจากตัวเมืองสุไหงโกลกได้
          โดยรถยนต์ : จากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าสู่อำเภอตากใบ โดยใช้เส้นทางตากใบ - สุไหงโกลก (ทางหลวงหมายเลข 4057) ประมาณ 5 กิโลเมตร จะพบทางแยกเล็กๆ เข้าสู่ถนนชวนะนันท์ เข้าไปประมาณ 3 กิโลเมตร แล้วเลี้ยวซ้ายไปอีก 2 กิโลเมตร มีป้ายบอกทางเข้าสู่ศูนย์วิจัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุสิรินธรเป็นระยะ